กองกลางเวสต์แฮม อาจจะลงเล่นให้กับขุนค้อนเป็นเกมสุดท้าย หลังพาทีมคว้าแชมป์ยูโรป้าคอนเฟอเรนซ์ลีก

กองกลางเวสต์แฮม ดีแคลน ไรซ์ มิดฟิลด์ซุปเปอร์สตาร์ดาวรุ่งประจำทีม อาจจะโบกมือลาทีมจากลอนดอน เพื่อหาความท้าทายใหม่ หลังจากอยู่ช่วยทีมมานานหลายฤดูกาล แม้จะมีหลายสโมสร ให้ความสนใจมากมาย แต่กองกลางดีกรีทีมชาติอังกฤษ เลือกที่จะใช้ความจงรักภักดี อยู่ช่วยทีมจนประสบความสำเร็จ คว้าแชมป์ยุโรปถ้วยเล็กสุด (ยูโรป้าคอนเฟอเรนซ์ลีก) พร้อมกับคว้าโควต้าไปลุยฟุตบอลรายการยูโรป้าลีกได้ ติดตามผลบอลยูโรป้าคอนเฟอเรนซ์ลีกเพิ่มเติมได้ที่ ข่าวกีฬา

การคว้าแชมป์ยูโรปาคอนเฟอเรนซ์ลีกของทีม ดูเหมือนจะเป็นนัดสุดท้ายของกองกลางคนสำคัญของเรา นั่นก็คือ ดีแคลน ไรซ์ ประธานสโมสรเวสต์แฮม กล่าวยอมรับ

ข่าว เว ส ต์ แฮม มีรายงานจาก talkSPORT ว่าประธานสโมสรทีมจากลอนดอน David Sullivan ออกมายอมรับและให้สัมภาษณ์เมื่อเช้านี้ว่า West Ham United ได้ตกลงที่จะให้กัปตันทีมของพวกเขา ออกไปหาความสำเร็จใหม่ๆ ในช่วงซัมเมอร์นี้ หลังจากที่ล่าสุดกำลังตกเป็น ข่าวแมนยู กำลังให้ความสนใจอย่างหนัก

เมื่อถูกถามว่าเป็นแมตช์สุดท้ายของไรซ์กับขุนค้อนหรือไม่ ซัลลิแวนตอบว่า “แน่นอน ผมคิดว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแหละ”

“เราให้คำมั่นสัญญากับเขาว่า ถ้าหากเขาตั้งใจที่จะไปจากที่นี่ เพื่อไล่ล่าความสำเร็จ เราจะไม่ขวางทาง แต่ขอให้อยู่ช่วยเราก่อนได้หรือไม่ และเมื่อถึงเวลาเราพร้อมสนับสนุน และวันนี้ก็มาถึง” 

“มันถึงเวลาอันสมควรแล้ว ที่เขาต้องได้ออกไปหาความสำเร็จ ออกไปหาความท้าทายใหม่ และเราต้องหาตัวแทน ในตำแหน่งของเขาให้ได้โดยเร็ว” อยากให้ แฟนบอล เว ส ต์ แฮม ได้เข้าใจ

“มันไม่ใช่สิ่งที่เราปรารถนา และต้องการอยากให้เกิดขึ้น เราได้ยื่นข้อเสนอให้เขา 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ เมื่อ 18 เดือนก่อน แต่เขาปฏิเสธ เขายอมเสียเงิน 10 ล้านปอนด์ เพื่ออยู่กับทีมต่อในช่วงเวลานั้น โดยเลือกที่จะไม่ต่อสัญญา เพราะเขาต้องการที่จะไปจากทีม

“ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม คุณไม่สามารถรักษาผู้เล่นได้ ถ้าการตัดสินใจของเขา มันไม่เป็นอย่างที่เราต้องการ”

ไรซ์ วัย 24 ปี อยู่กับเวสต์แฮมตั้งแต่อายุ 14 ปี เขาไม่ใช่เยาวชนของสโมสร เขาเลือกที่จะเข้าร่วมทีมของเรา หลังจากที่เชลซีปล่อยตัวได้ไม่นาน

กองกลางเวสต์แฮม ดีแคลน ไรซ์ มีดีกรีเป็นกองกลางทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่ เป็นกองกลางที่ยังมีอายุน้อย และยังสร้าง

ตํานานเวสต์ แฮม เป็นกัปตันทีมคนแรกที่พาขุนค้อน ผงาดชูถ้วยรางวัลใหญ่ครั้งประวัติศาสตร์ ในรอบ 43 ปี